วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ซ่อมเครื่องยนต์เบนซิน

ชื่อวิชา ช่างซ่อมเครื่องยนต์เบนซิน 48 ชั่วโมง
หมู่วิชา ช่างยนต์
รหัสวิชา 01101503
สาขาวิชา   เทคโนโลยีอุตสาหกรรม
  

วัตถุประสงค์

1.มีความรู้และทักษะในงานช่างเครื่องยนต์เบนซิน
2.สามารถวิเคราะห์ปัญหา และแก้ไขข้อขัดข้องของเครื่องยนต์เบนซินได้
3.มีจรรยาบรรณในการประกอบอาชีพ
4.สามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพได้
5.ปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย

คำอธิบายรายวิชา

เครื่องมือช่างยนต์ ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน โครงสร้าง และหลักการทำงานของเครื่องยนต์เบนซิน 4 จังหวะ 2 จังหวะ ระบบน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบหล่อลื่น ระบบระบายความร้อน ระบบไอดี ไอเสีย การตรวจซ่อมเครื่องยนต์ การบำรุงรักษา การถอดประกอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์ และการตรวจสภาพ การประมาณราคาค่าบริการ จรรยาบรรณในการประกอบอาชีพ

คุณลักษณะผู้จบการฝึกอบรมที่พึงประสงค์

1.รู้จักเครื่องมือ และใช้งานได้ถูกต้อง
2.มีความรู้เกี่ยวกับหลักความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
3.มีความรู้ และความเข้าใจในหลักการทำงานของเครื่องยนต์เบนซิน
4.สามารถถอดประกอบ ตรวจสภาพ บำรุงรักษา และแก้ไขข้อขัดข้องของเครื่องยนต์เบนซินได้
5.มีจรรยาบรรณในการประกอบอาชีพ และประมาณราคาค่าบริการได้

ผู้เข้ารับการฝึกอบรม จบแล้วสามารถประกอบอาชีพ / ปฏิบัติงาน

1.เป็นพนักงานในสถานประกอบการเกี่ยวกับงานช่างยนต์
2.ปฏิบัติงานซ่อมรถยนต์ส่วนตัว หรือบุคคลใกล้ชิด เพื่อลดค่าใช้จ่าย
3.ปฏิบัติงานแก้ไขข้อขัดข้องเบื้องต้นของระบบเครื่องยนต์ กรณีเกิดปัญหาในระบบเครื่องยนต์
4.ประกอบอาชีพอิสระ

รถเครื่องยนต์ดีเซล



  • Members
  • Pip
  • 6 posts
    Posted 07 April 2012 - 02:45 AM
    วันนี้..มาแปลกนะ คือจะมาสาธกเรื่องรถเครื่องยนต์ดีเซล
    ทำไมถึงควันดำ? แล้วตำรวจจราจรทำไมถึงบ้าอำนาจ
    ชอบตรวจชอบตั้งด่านตรวจควันดำ รถบรรทุกกันนัก

    เรื่องนี้ ขอเล่าเรื่องย้อนไปในอดีต เมื่อราวปี 2531 สมัยนั้นน้ำมันดีเซลลิตร 6-7 บาท
    เบ็นซิน 8-9 บาท
    ผมได้เข้ามาอยู่ กทม.แล้ว ใช้รถตู้ เครื่องยนต์ดีเซล ยี่ห้อนิสสัน แต่เปลี่ยนเครื่อง
    เป็น อีซูซุ ตอนนั้น ได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนสมาชิกนักวิทยุสมัครเล่น
    ผมขายอาหารอยู่สี่แยกคอดวัว(ที่กลายเป็นอนุเสวรีย์14ตุลาปัจจุบัน)
    พอพิจิตรเป็นผู้ว่าฯ เราเลยกระเด็นกระดอน เลิกกิจการไปเลย

    ช่วงขณะนั้นในวงการวิทยุสมัครเล่น ได้รู้จักเน็ทฯคนหนึ่ง ทำหน้าที่รายงาน
    การจราจร ใช้ชื่อว่า VR629 คนนี้ทำงานอยู่บริษัทฯรถยนต์ยี่ห้อดังแห่งหนึ่ง

    และได้เคยพบปะกันหลายครั้ง ย่านสี่แยกคอกวัว ก็มีชมรมราชบพิตร
    ก่อนนั้น มีคลื่นประจำ145.700 ประสานงานช่วยเหลือเพลิงไหม้
    (รถจอดประจำข้างวัดราชบพิตร) คนที่รู้จักเขามีรถดีเซล ออกมาใหม่ป้ายแดง
    เขานับถือผมมาก ก็มาคุยกันเรื่องรถ เขาบอกว่าได้รับความรู้พิเศษมาจาก
    VR629 คือทางบริษัทส่งช่างไปดูงานที่ประเทศซาอุ เขาไปเห็นรถบรรทุกขนาดใหญ่
    คล้ายยี่เอ็มซี เข้าคิวเติมน้ำมันดีเซล ณ หัวจ่ายน้ำมัน ของบริษัทฯนั้น
    พอเติมดีเซลเสร็จ เขาก็เลื่อนไปเติมที่หัวจ่ายน้ำมันเบ็นซินอีก

    คณะช่างเครื่องรถยนต์จากไทยจึงได้สอบถาม ว่าทำไมต้องเติมน้ำมัน 2 ชนิด
    ทางบริษัทฯที่ไปดูงาน เขาจึงตอบว่า รถที่จะออกหน้างาน จำเป็นต้องวิ่งไปในทะเลทราย
    เพราะฉะนั้นกำลังเครื่องธรรมดา จะทำงานหนักมาก ทำให้มีปัญหาได้หากเกิดรถคันที่
    วิ่งไปในทะเลทราย ดับและติดอยู่กลางทะเลทราย จึงต้องเพิ่มค่าอ๊อกเทลให้กับ
    เครื่องยนต์ โดยการผสมน้ำมัน ดีเซล+เบ็นซิน

    คณะช่างจึงสอบถามว่า "แล้วอัตราการผสมมีหรือไม่อย่างไร?"
    บริษัทซาอุฯตอบว่า "มัอัตราการผสมดังนี้ หากเป็นเครื่องยนต์ดีเซล ที่เริ่มมีควันดำ
    หรือเกินจาก 2-3ปีแล้ว ให้ใช้ 25/1 หากเป็นรถใหม่ ให้ใช้ 30/1 เครื่องยนต์
    จะทำงานเบาขึ้น กำลังแรงม้าเพิ่มขึ้น การเผาไหม้เชื้อเพลิงดี

    คณะช่างยนต์จากไทยจึงได้จดจำบันทึกมา แต่บริษัทไม่ให้นำไปเปิดเผย
    เพราะหากคนรู้ จะทำให้อาหลั่ยเครื่องยนต์ที่ใช้ทนนานขึ้น ทำให้บริษัทขาดรายได้
    ในการซ่อมบำรุงและขายอาหลั่ย

    นี่เป็นข้อคิด ขนาดประเทศเจ้าของบ่อน้ำมันแท้ๆ เขาผลิตน้ำมัน ค่าอ๊อกเทลสูงแล้ว
    เขายังใช้สูตรผสม แต่ประเทศไทยล่ะ โกงกินตั้งแต่โรงกลั่น ดีเซลจึงมีมาตรฐานต่ำ
    ขนาดเครื่องยนต์ป้ายแดง เทสมาจากต่างประเทศไม่มีปัญหา พอมาเจอผีดูดทรัพย์
    (ตำรวจที่ชอบตั้งตรวจรีดไถแบบไร้มนุษยธรรม) ป้ายแดงควันยังดำเลย แล้วไปโทษใคร
    บริษัทขายรถหรือ ทำไม ไม่โทษต้นตอคือบริกลั่นน้ำมัน ว่าได้มาตรฐานเหมือนสากลหรือไม่?

    นี่แหละ..โจมตีกันไปต่างๆนานา บางครั้งก็ทำให้คนใช้รถยนต์งงเหมือนกัน

    จำกันได้ไหม? สมัยช่วงที่คึกฤทธิ์เป็นนายกฯ มีปากกาในมือ หนังสือสยามรัฐราชดำเนินนั่นแหละ
    เขียนให้คนรนณรงค์ ใช้น้ำมันซุปเปอร์กัน ในขณะนั้น บอกว่าเบ็นซินธรรมดา91 มีสารตะกั่วเยอะ
    ตกลงไปในคลองประปา ทำให้ผู้บริโภคหรือใช้ประปา เป็นโรคอันตรายได้ ตอนนั้นน้ำมัน
    ซุปเปอร์แพงกว่าเบ็นซิน

    อ้าว..พอต่อมาน้ำมันเริ่มแพงขึ้น เปลี่ยนรัฐบาลมาได้ 2-3รัฐบาล บอกให้กลับไปใช้
    เบ็นซินธรรมดา อย่าไปใช้ซุปเปอร์ แพงและสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ โห...อะไรกันหว่า?
    ปัจจุบันนี้ผมเองก็งง มีโซฮง โซฮอล แล้วอะไรคือเบ็นซินกะซุปเปอร์ งงพอๆกับ ดีเซล และ B5

    นี่แหละครับ..เข้าเรื่องต่อ..ผมได้รับคำแนะนำ ก็ทดลองบ้าง เติมผสม ตอนนั้นน้ำมันขนาดถัง 50ลิตร
    ผมก็ใส่เบ็นซินผสมไป 2 ลิตร อ๊ะเข้าท่าแฮะ เครื่องเดินเงียบ วิ่งเร็วขึ้น (ก็ขนาดเขาออกรถ
    ป้ายแดงมาเขายังผสม แล้วรถเราเก่าจะไปกลัวอะไร) เขาบอกว่า การผสมต้องจำไว้
    เมื่อเติมแล้วให้ใช้น้ำมันให้หมดถังค่อยเติมผสมเข้าไปใหม่

    แต่หากเราจะใช้วิธีเติมกลางคัน(เช่นใช้ไปครึ่งถัง) เราก็ต้องเติมน้ำมัน อัตรา 25 ลิตรดีเซล
    ต่อน้ำมันเบ็นซิน 1 ลิตร ครับ

    และต่อมาผมออกรถใหม่อีซูซุ 2500 มังกรทองรุ่นแรก ผมก็ผสมตั้งแต่ป้ายแดงเลย
    ใช้เป็นสิบๆปี เรื่องไม่มีปัญหา และรู้ๆกันอยู่รถอีซูซุ เวลาจะแซงต้องเหยียบเร่งส่งตัว
    หากเสียจังหวะ ก็ต้องตั้งหลักส่งตัวเพื่อแซงคนหน้า ไม่คล่องแคล่วเหมือนโตโยต้า

    พอเติมผสมไปเท่านั้นแหละ วิ่งฉิว แซงซ้ายย้ายขวาคล่องตัวสบายมาก คนที่เขาไม่รู้นึกว่า
    เราจิดเครื่องเทอร์โบว์ เปล่าหรอกครับ ผสมจ้า

    และเครื่องอีซูซุ เวลาเครื่องเย็น ตอนเช้า เวลาสตาร์ทเครื่องยนต์เครื่องติดแล้วจะสั่นดังมาก
    พอเติมผสมไป เครื่องเดินเงียบเบา แล้วก็ควันดำไม่มีครับ

    ดังนั้นเวลานี้ผมใช้วีโก้ ก็ผสมตั้งแต่ป้ายแดงเช่นกัน เวลาเข้าปั๊ม ต้องดูหัวฉีดอยู่ติดกะเบ็นซิน
    หรือเปล่า หากติดกัน เราก็เติมเบ็นซินไปก่อนประมาณ 2 ลิตรครึ่ง หรือบางที ก็ 100 บาทง่ายดี
    แล้วให้เด็กปั้มเติมดีเซลเต็มถัง โตโยต้าถังน้ำมัน 80 ลิตร เครื่องเดินเงียบ ออกตัวไวดี
    ทำให้เปลืองพลังงานน้อย

    อย่าไปเติมหัวเชื้อ ที่ปั้มโฆษณา เบ็นซินแน่นอนที่สุด เพิ่มค่าอ๊อกเทล จากอดีตมาถึงปัจจุบัน
    20 กว่าปีแล้วครับ (บางทีเด็กปั๊มงง บอกไม่เคยเจอ เราก็บอกว่างั้นก็จงดูซะ)

    นี่แหละครับ..ก็ไม่รู้ว่ามีท่านใดเคยใช้สูตรนี้บ้างไหม? ช่วงสงกรานต์ เดินทาง ทดลองดูครับ
    วิ่งฉิวเครื่องเบา ทำให้อายุเครื่องยนต์ทนนานขึ้น

    บริษัทญี่ปุ่นจึงไม่อยากให้เผยแพร่ จะทำให้เขาขายอะหลั่ยไม่ได้

    ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านนะครับ 

    การตรวจซ่อมอุปกรณ์และวงจรไฟฟ้า

      รายละเอียดเนื้อหา

      บทนำ ::: คำอธิบายรายวิชา
      ตารางวิเคราะห์จุดประสงค์
      จุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรม

      หน่วยการเรียนที่ 1
       เรื่อง::ไฟฟ้าเบื้องต้นและหลักความปลอดภัย
      1. ประวัติและความเป็นมาของไฟฟ้า
      2. ทฤษฎีอิเล็กตรอน
      3. แหล่งกำเนิดของไฟฟ้า
      4. ชนิดและประเภทของไฟฟ้า
      5. หน่วยวัดไฟฟ้า กฏของโอห์ม และการคำนวณ
      6. การต่อวงจรไฟฟ้าแบบต่าง ๆ
      7. หลักความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
      8. 
    การปฐมพยาบาลผู้ได้รับอันตรายจากไฟฟ้า

      
    หน่วยการเรียนที่ 2
       เรื่อง::วัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือในงานไฟฟ้า
      9.   เครื่องมือวัดในงานไฟฟ้า
      10. วิธีใช้เครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์  การบำรุงรักษา

      
    หน่วยการเรียนที่ 3
       เรื่อง::การอ่านแบบและเขียนแบบติดตั้งงานไฟฟ้า
      11. 
    การอ่านแบบ และการใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ
      12. การเขียนแบบติดตั้งอุปกรณ์การเดินสายไฟฟ้า


      หน่วยการเรียนที่ 4 

       เรื่อง::ชนิดของสายไฟฟ้าและการต่อสายไฟฟ้า
      13. สายไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ และวิธีการต่อสาย


      หน่วยการเรียนที่ 5 

       เรื่อง::ปฏิบัติการเดินวงจรไฟฟ้ารูปแบบต่าง ๆ
      14. การเดินวงจรปลั๊กและแผงควบคุมไฟฟ้า
      15. การเดินวงจรสวิทช์ทางเดียวกับหลอดกลม
      16. การเดินวงจรสวิทช์ทางเดียวกับหลอด F/L
      17. การเดินวงจรสวิทช์ 2 ทางกับหลอดไฟฟ้า
      18. การประยุกต์วงจรไฟฟ้าต่างๆเข้าด้วยกัน
      19. การตรวจซ่อมอุปกรณ์และวงจรไฟฟ้าที่ชำรุด

      หน่วยการเรียนที่ 6
       เรื่อง::การทำบัญชีรายรับ รายจ่าย
      20. การสำรวจราคาค่าวัสดุ อุปกรณ์ในงานไฟฟ้า
      21. การทำบัญชีรายรับ รายจ่ายและการคำนวณ

      
    แบบทดสอบ >>หลังเรียน
      
    แบบประเมินเนื้อหาและกิจกรรม

    .
       การตรวจซ่อมอุปกรณ์และวงจรไฟฟ้าที่ชำรุด :::  วิชาช่างเดินสายไฟในอาคาร  ช 0261 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
      
    การตรวจซ่อมอุปกรณ์และวงจรไฟฟ้าที่ชำรุด

            การตรวจซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากเมื่อเราใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าไปนาน ๆ ย่อมเกิดการชำ
    รุดเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นการเสียหายที่เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การขาดความรู้  ขาดการดูแลเอาใจใส่  แม้กระทั่งเกิด
    ขึ้นเองตามสภาพการใช้งาน แต่เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว   เราควรที่จะรีบทำการแก้ไขก่อนที่จะเกิดอันตรายต่อตัวผู้ใช้
    หรือต่อทรัพย์สิน เช่น การเกิดไฟฟ้าลัดวงจร การเกิดอัคคีภัย ฯลฯ   ดังนั้นเพื่อให้นักเรียนรู้วิธีการปฏิบัติเพื่อนำไปใช้ในการ
    แก้ปัญหาเท่าที่เราสามารถกระทำได้แล้ว  ยังนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน  และยังสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ ซึ่งจะมีแนวทางดังต่อไปนี้

            1. การสำรวจสภาพความเสียหายของวงจรไฟฟ้า และอุปกรณ์ต่าง ๆ
            2. วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นของวงจรและอุปกรณ์ไฟฟ้า
     
            3 .
    ดำเนินการแก้ไขตามสภาพของความเสียหายขั้นตอนในการตรวจซ่อมอุปกรณ์และวงจรไฟฟ้า
            มีวิธีตรวจสอบความเสียหายของอุปกรณ์และวงจรไฟฟ้าดังต่อไปนี้

            1.1 ถ้าสายไฟขาดหรือมีรอยฉีกขาดควรทำการแก้ไขโดยตัดและต่อสายใหม่ ถ้าสายเก่าก็ให้เปลี่ยนสายใหม่และทำ
    การต่ออย่างแน่นหนา
            1.2 กรณีหลอดไฟไม่ติดหรือดับ อาจเกิดจากหลอดขาด ให้ทำการเปลี่ยนใหม่ แต่ถ้าไม่ขาดให้ลองตรวจสอบสวิทช์
    ไฟว่าเสีย สายขาด หรือเกิดการลัดวงจรหรือไม่ ถ้าเห็นว่าไม่สามารถแก้ไขได้ ควรทำการเปลี่ยน หรือทำการเช็ควงจรและ
    ไล่สายใหม่
            1.3 กรณีปลั๊กหรือเต้ารับ ไม่มีไฟ สายอาจจะขาด อันเกิดจากการลัดวงจร ถ้าตรวจพบให้ต่อวงจรใหม่ให้เรียบร้อย
    แต่ถ้าไม่ขาดควรไปดูที่คัทเอ้าท์ และฟิวส์ที่แผงควบคุม อาจเกิดจากฟิวส์ขาด  หรือถ้าใช้เซอร์กิต เบรคเกอร์ ให้ลองสับ
    สวิทช์ดูใหม่
            1.4 ถ้าไฟดับบ่อย อันเกิดจากแผงควบคุมไฟฟ้าตัดไฟ ลองตรวจดูขนาดของฟิวส์ว่ามีขนาดเล็กไปหรือไม่ควรเปลี่ยน
    ให้มีขนาดเหมาะสมกับการใช้งานภายในบ้านหรือสถานที่นั้น ๆ แต่ถ้าไม่ใช่ ลองตรวจดูอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น เต้ารับ สวิทช์ไฟ
    หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่กำลังเสียบใช้งานอยู่อาจเกิดความผิดปกติหรือลัดวงจร  ให้ทำการแก้ไขโดยเร็ว  หรือถ้าตรวจพบว่ามี
    กระแสไฟฟ้าเกินให้แจ้งต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อจะได้ส่งเจ้าหน้าที่มาทำการแก้ไขต่อไป
            
    1.5 หากพบว่ามีเสียงดังผิดปกติที่บริเวณ สวิทช์ หรือแผงควบคุมไฟฟ้า อาจเกิดจากหน้าสัมผัส (Contact) ของ
    อุปกรณ์นั้นเกิดความร้อนสูง หรือมีสิ่งแปลกปลอมบริเวณหน้าสัมผัสนั้นให้รีบทำการแก้ไขโดยด่วน
            1.6 บางครั้งอาจพบว่ามีเสียงครางออกมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ ลองตรวจสอบดูว่าบัลลาสต์หลวมหรือไม่ และ
    หลอดไฟดับ ๆ ติด ๆ อาจเป็นที่สตาร์ทเตอร์เสื่อมสภาพ ให้ทำการเปลี่ยนใหม่ แต่ถ้าบริเวณขั้วหลอดดำก็ควรเปลี่ยนหลอด
    ใหม่เช่นกัน
            1.7 ในระหว่างการปฏิบัติงาน เพื่อความไม่ประมาท ควรสวมถุงมือ หรือตัดวงจรที่แหล่งจ่ายไฟออกก่อน และเลือก
    ใช้เครื่องมือให้เหมาะสมในการทำงานนั้น เช่น อาจใช้ไขควงเช็คไฟตรวจดูว่าบริเวณที่จะแก้ไขนั้นมีไฟฟ้าหรือเปล่าไม่ควร
    ทำงานในขณะที่มีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่
            1.8 อุปกรณ์ไฟฟ้าบางชนิด เราไม่สามารถทำการแก้ไขเองได้ ไม่ควรเสี่ยงที่จะดำเนินการเองเพราะอาจเกิดความผิด
    พลาด ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญมาทำการแก้ไข
            1.9 การแก้ไขอุปกรณ์และวงจรไฟฟ้า อย่าทำอย่างลวก ๆ ให้ตรวจสอบอย่างละเอียด และพิจารณาตามวิธีการที่ได้
    ้ศึกษามาอย่างถูกต้อง สิ่งที่สำคัญต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่การไฟฟ้าส่วน

    วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

    10 อันดับสุดยอดรถที่เร็วที่สุดในโลก 2012


    10 อันดับสุดยอดรถที่เร็วที่สุดในโลก 2012

    10 อันดับสุดยอดรถที่เร็วที่สุดในโลก 2012 อันดับที่10 รถsupercar

     Porsche Carrera GT : ทำความเร็วได้ 209 ไมค์/ชม. เครื่องยนต์ 612 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ใน 3.9 วิ เครื่องยนต์10สูบ (V.10) ราคาเปิดตัว 440,000 เหรียญ

    10 อันดับสุดยอดรถที่เร็วที่สุดในโลก 2012 อันดับที่9

     Lamborghini Murcielago LP640 : ทำความเร็วได้ 213 ไมค์/ชม. เครื่องยนต์ 640 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ใน 3.3 วิ เครื่องยนต์12สูบ (V.12) ราคาเปิดตัว 430,000 เหรียญ

    10 อันดับสุดยอดรถที่เร็วที่สุดในโลก 2012 อันดับที่8

     Pagani Zonda F : ทำความเร็วได้ 215 ไมค์/ชม. เครื่องยนต์ 650 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ใน 3.5 วิ ทำความเร็วได้ 215 ไมค์/ชม. เครื่องยนต์ Mercedes Benz M180 12สูบ (V.12) ราคากลาง 741,000 เหรียญ

    10 อันดับสุดยอดรถที่เร็วที่สุดในโลก 2012 อันดับที่7

     Jaguar XJ220 : ทำความเร็วได้ 217 ไมค์/ชม. เครื่องยนต์ 542 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ใน 4.0 วิ เครื่องยนต์ Twin Turbo 6 สูบ ราคาเปิดตัว 345,000 เหรียญ

    10 อันดับสุดยอดรถที่เร็วที่สุดในโลก 2012 อันดับที่6

     Ferrari Enzo : ทำความเร็วได้ 217 ไมค์/ชม. เครื่องยนต์ 660 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ใน 3.4 วิ เครื่องยนต์ 12 สูบ ตัวถังทำจากอลูมินั่ม ราคาเปิดตัว 670,000 เหรียญ

    10 อันดับสุดยอดรถที่เร็วที่สุดในโลก 2012 อันดับที่5

     McLaren F1 : ทำความเร็วได้ 240 ไมค์/ชม. เครื่องยนต์ 627 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ใน 3.2 วิ เครื่องยนต์ BMW S70/2 60 Degree 12 สูบ ราคาเปิดตัว 970,000 เหรียญ

    10 อันดับสุดยอดรถที่เร็วที่สุดในโลก 2012 อันดับที่4

     Saleen S7 Twin-Turbo : ทำความเร็วได้ 248 ไมค์/ชม. เครื่องยนต์ 750 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ใน 3.2 วิ เครื่องยนต์ 8 สูบ Twin Turbo ตัวถังทำจากอลูมินั่มทั้งหมด ราคาเปิดตัว 555,000 เหรียญ

    10 อันดับสุดยอดรถที่เร็วที่สุดในโลก 2012 อันดับที่3

     Koenigsegg CCX : ทำความเร็วได้ 250 ไมค์/ชม. เครื่องยนต์ 806 แรงม้า อัตตราเร่ง 0-60 ใน 3.2 วิ เครื่องยนต์ 90 Degree 8 สูบ ราคาเปิดตัว 695,000 เหรียญ ผลิตในสวีเดน

    10 อันดับสุดยอดรถที่เร็วที่สุดในโลก 2012 อันดับที่2

     Bugatti Veyron : ทำความเร็วได้ 253 ไมค์/ชม. เครื่องยนต์ 1001 แรงม้า อัตตราเร่ง 0-60 ใน 2.5 วิ เครื่องยนต์ Narrow Angle 16 (w16) ตัวถังทำจากอลูมินั่ม ราคาเปิดตัว 1,444,000 เหรียญ

    10 อันดับสุดยอดรถที่เร็วที่สุดในโลก 2012 อันดับที่1

     SSC Ultimate Aero : ทำความเร็วได้ 257 ไมค์/ชม. เครื่องยนต์ 1183 แรงม้า อัตตราเร่ง 0-60 ใน 2.7 วิ เครื่องยนต์ Twin-Turbo 8 สูบ ราคาเปิดตัว 654,400 เหรียญ

    เครดิต toptenthailand.com
    และ http://thailandsupercar.com/
    ฝาก like ด้วยนะคับ https://www.facebook.com/thailandsupercar
    VOTED BY: CHOKchampchamp
     
    โหวตให้กระทู้นี้ >> 
    มีผู้เข้าชมแล้ว 11,631 ครั้ง, โหวตแล้ว 5 ครั้ง / 24 คะแนน
    โพสท์โดย: จีน
    19:04 - 22 ตุลาคม 2555 

    แมวไทย


    แมวไทย

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    แมวไทย พันธุ์วิเชียรมาศ
    แมวไทย คือแมวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย คุณสมบัติที่ทำให้แมวไทยเหนือกว่าแมวชนิดอื่น คือ อุปนิสัย แมวไทยมีความฉลาด มีความเป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิด รู้จักประจบ รักบ้าน รักเจ้าของ และเหนืออื่นใด คือ รักความอิสระของตัวเองเป็นชีวิตจิตใจ อิสระที่ จะกิน จะดื่ม หรือจะไปไหนตามที่ใจชอบ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลิกประจำตัวที่ทำให้แตกต่างจากแมวพันธุ์อื่น สีสันตามตัวของแมวไทย เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักรักแมวรู้สึกสุขใจยามได้มอง ไม่ว่าจะเป็น วิเชียรมาศ เก้าแต้ม ขาวมณีหรือขาวปลอด นิลรัตน์หรือดำปลอด ศุภลักษณ์หรือ ทองแดง สีสวาดหรือแมวไทยพันธุ์โคราช ต่างล้วนได้รับความสนใจ จากเจ้าของและผู้สนใจทั้งสิ้น
    เมื่อปี พ.ศ. 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานแมววิเชียรมาศคู่หนึ่งให้แก่ กงสุลอังกฤษชื่อนาย โอเวน กูลด์ (Owen Gould) แมวไทยคู่นี้ชนะการประกวดแมวที่ กรุงลอนดอน และทำให้ชาวอังกฤษนิยมเลี้ยงแมวไทยมากขึ้น ในที่สุดก็แพร่หลายไปทั่วโลก และแมววิเชียรมาศก็เป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า "Siamese Cat" หรือแมวสยาม นับแต่สมัยกรุงธนบุรีเป็นต้นมา จวบจนถึง สมัยรัชกาลที่ 5 ลาวได้อพยพสู่สยามโดยการกวาดต้อนครัวเรือนชาวลาวไปสยามจำนวนมาก พวกสัตว์ประเภทต่างๆก็คงได้อพยพไปด้วย แมวไทยอาจมีสายเลือดแมวลาวปนอยู่ด้วยอย่างมาก
    สำหรับในประเทศไทย คนไทยที่เป็นที่รับรู้ดีว่าชอบเลี้ยงแมวไทย อาทิ เช่น นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายพิชัย วาสนาส่ง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการต่างประเทศ และ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล อดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) เป็นต้น

    เนื้อหา

    [แก้]ชนิดของแมวไทย

    แมวไทย (วิฬาร) ที่ยังเหลือให้พบเห็นในปัจจุบันนี้มี 6 ชนิดคือ วิเชียรมาศ สีสวาด ศุภลักษณ์ โกญจา ขาวมณี และแซมเสวตร[1] แต่แท้จริงแล้วในสมุดข่อยโบราณได้กล่าวถึงแมวไทยว่ามีทั้งหมด 23 สายพันธุ์ แบ่งออกเป็นแมวให้คุณ 17 ชนิด และ แมวร้ายให้โทษอีก 6 ชนิด

    [แก้]แมวให้คุณ 17 ชนิด

    แมวไทยบนแสตมป์ของ บริษัทไปรษณีย์ไทยจำกัด (ซ้ายบน) ขาวมณี, (ซ้ายล่าง) วิเชียรมาศ, (ขวาบน) มาเลศ, (ขวาล่าง) ศุภลักษณ์
    1. วิเชียรมาศ เมื่อแรกเกิดมีขนสีขาวหมด พอโตขึ้นจะมีสีเปลี่ยนเป็นสีครีมอ่อน ๆ แต่ที่หน้า หาง เท้าทั้งสี่หูทั้งสองข้าง และที่อวัยวะเพศอีก 1 แห่งรวมเก้าแห่งมีสีน้ำตาล (สีเข้ม) มีนัยน์ตาประกายสีฟ้าสดใส เลี้ยงไว้มีคุณค่ายิ่งลำนักหนา จักนำโภคาพิพัฒน์สมบัติเพิ่มพูล
    2. ศุภลักษณ์ หรือ ทองแดง สีขนเป็นสีทองแดงตลอดตัว มีนัยน์ตาเป็นประกาย ใครเลี้ยงจักได้ยศถา ยิ่งพ้นพรรณนาเป็นอำมาตย์มนตรี
    3. มาเลศ หรือ แมวโคราช หรือ สีสวาด มีขนสีดอกเลาเปรียบเสมือนกับเมฆสีเทายามฟ้ายับฝน มีนัยน์ตาหยาดเยิ้มประหนึ่งนำค้างย้ยต้องกลีบบัว ใครพบเร่งให้อุปถัมภ์ แมวนั้นจักนำมาซึ่งสุขสวัสดิ์มงคล
    4. โกนจา หรือ ดำปลอด มีสีดำละเอียด นัยน์ตาสีดอกบวบแรกแย้ม หางเรียวยาว ท่าทางการเดินสง่าเหมือนสิงโต แมวนี้เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย
    5. นิลรัตน์ สีดำทั้งตัว รวมถึงเล็บ ลิ้น ฟัน ดวงตา และกระดูก หางยาวตวัดได้จนถึงหัว เลี้ยงไว้แล้วเชื่อว่าจะมีความเจริญ มีทรัพย์ ปราศจากอันตราย
    6. วิลาศ มีลำตัวสีดำจากคอไปตลอดท้อง จากสองหูไปจนถึงหางและขาทั้งสี่มีสีขาว ตาสีเขียว เชื่อว่าเลี้ยงไว้แล้วจะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีเงินทองมากมาย
    7. เก้าแต้ม มีสีขาวเป็นพื้น มีแต้มสีดำเก้าจุดที่คอ หัว ต้นขาหน้าและหลังทั้งสองข้างและที่ท้ายลำตัว เชื่อว่าเลี้ยงไว้แล้วจะรุ่งเรืองทางการค้าขาย
    8. รัตนกำพล ตัวขาวเหมือนหอยสังข์ แต่รอบตัวตรงส่วนอกมีลักษณะคล้ายสายคาดสีดำ ตาสีเหลือง เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมียศ ผู้อื่นยำเกรง
    9. นิลจักร มีลำตัวดำสนิท ที่คอมีขนสีขาวอยู่รอบเหมือนกับปลอกคอ เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมีทรัพย์มาก
    10. มุลิลา ลำตัวดำ หูสองข้างมีสีขาว ตามีสีเหลืองเหมือนดอกเบญจมาศ เชื่อว่าแมวชนิดนี้เหมาะกับนักบวชเลี้ยงเพราะช่วยให้มีการเล่าเรียนดีสมปรารถนา
    11. กรอบแว่น หรือ อานม้า มีปานลักษณะอานม้าบนหลัง เชื่อว่าแมวชนิดนี้มีราคาสูงถึงแสนตำลึงทองคำ และให้เกียรติยศแก่เจ้าของ
    12. ปัดเสวตร หรือ ปัดตลอด ตัวมีสีดำเป็นพื้น ตั้งแต่จมูกไปตามแนวสันหลังถึงปลายหางมีสีขาว ตาเหลืองคล้ายกับพลอย หากเลี้ยงไว้จะมีความเจริญมากกว่าคนในสกุลเดียวกันและได้ลาภยศ
    13. กระจอก ไม่กระจอกเหมือนชื่อ ลำตัวกลมมีสีดำ รอบปากมีสีขาว ตาสีเหลือง เลี้ยงแล้วเชื่อกันว่าจะได้ที่ดินเงินทอง ไพร่ก็จะได้เป็นเจ้านายคน
    14. สิงหเสพย์ หรือ โสงหเสพย์ ลำตัวมีสีดำ ที่ปาก รอบคอ จมูกมีสีขาว ตาสีเหลือง ท่าทางเดินสง่าเหมือนสิงโต เลี้ยงแล้วมีสิริมงคล
    15. การเวก ลำตัวสีดำ จมูกสีขาว ตาเป็นประกายสีทอง เชื่อกันว่าภายใน 7 เดือนที่ได้มาเลี้ยงจะได้ยศศักดิ์และลาภจำนวนมาก
    16. จตุบท ตัวสีดำ เท้าทั้งสี่มีสีขาว ตาสีเหลืองเหมือนดอกโสน เชื่อว่าให้คุณกับคนเลี้ยง แต่ไม่เหมาะกับคนทั่วไป สมควรเลี้ยงแก่บุคคลชั้นสูงหรือราชินิกูลเท่านั้น
    17. แซมเสวตร มีขนสีดำแซมขาว มีขนบางและสั้งรูปร่างเพรียว มีนัยน์ตาดั่งหิ่งห้อย เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย

    [แก้]แมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด

    1. ทุพลเพศ มีขนสีขาว ดวงตาสีแดงดั่งโลหิตทาตาไว้ มีนิสัยไม่ดีชอบลักขโมยปลาไปกินทุกคำคืน ใครเลี้ยงไว้จะให้โทษไม่เป็นสุขเกิดความเดือดร้อนแรงผลาญ
    2. พรรณพยัคฆ์ หรือ ลายเสือ มีขนลายเหมือนเสือ ลักษณะขนเหมือนชุบด้วยเกลือกับแกลบ มีนัยน์ตาสีแดงเจือสีเปือกตม มีเสียงร้องเหมือนเสียงผีโป่งร้องอยู่ตามป่าเขา ถือว่าเป็นแมวให้โทษอีกชนิดหนึ่ง
    3. ปีศาจ เป็นแมวที่กินลูกตัวเอง ออกลูกมากี่ตัวกินหมด ลักษณะขนสาก ตัวผอม หนังยาน โบราณจัดเป็นแมวร้ายอย่านำมาเลี้ยงไว้
    4. หิณโทษ เป็นแมวนำมาซึ่งสิ่งเลวร้าย นำภัยพิบัติมาสู่บ้าน ใครเลี้ยงไว้จะไม่เป็นมงคล ออกลูกมามักจะมีลูกตายอยู่ในท้อง
    5. กอบเพลิง เป็นแมวที่ลึกลับชอบซ่อนตัวหลบหลีกผู้คน พอมันเห็นคนมันจะเดินหรือรีบวิ่งหนี ใครเลี้ยงไว้จะมีโทษถึงตัว
    6. เหน็บเสนียด มีลักษณะเหมือนค่าง ชอบเอาหางขดซ่อนไว้ใต้ก้นเสมอ มีรูปร่างพิกลพิการ อย่าเลี้ยงไว้ในบ้านจะทำให้เสียชื่อเสียงและเกียรติยศ

    [แก้]ขาวมณี

    ส่วน ขาวมณี หรือ ขาวปลอด นั้นถึงแม้ไม่มีปรากฏในตำราแมวไทย เพราะเชื่อว่าเพิ่งถือกำเนิดในต้นยุครัตนโกสินทร์นี่เอง แต่ก็จัดว่าเป็นแมวไทยมงคลด้วยเหมือนกัน

    วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

    การว่ายน้ำ

    • ความยาวของสระว่ายน้ำมาตรฐาน เท่ากับ 50 เมตร ความกว้าง เท่ากับ 25 เมตร โดยมีเลนแข่ง 8 เลน แต่ละเลนกว้าง 7-9 ฟุต น้ำในสระจะลึกอย่างน้อย 4 ฟุต(1.20เมตร) หรือมากกว่า อุณหภูมิของน้ำอยู่ที่ประมาณ 78 - 80 องศาฟาเรนไฮต์ ทั้งนี้ไม่มีการทำเครื่องหมายใดๆในสระหรือขอบสระ ที่จะเป็นเครื่องช่วยทำให้การว่ายน้ำทำเวลาได้เร็วขึ้น



    • ประเภทของการแข่งขันว่ายน้ำโอลิมปิค ทั้งประเภทชายและหญิง มีการแข่งขันว่ายเดี่ยว 13 ประเภท และว่ายผลัด 3 ประภท โดยผู้เข้าแข่งขันทีมว่ายผลัดในทีมเดียวกัน จะต้องเป็นคนสัญชาติเดียวกัน 


    การแข่งขันว่ายท่ากรรเชียง มีทั้งระยะทาง 100 เมตร และ 200 เมตร

    การแข่งขันขันว่ายท่ากบ มีทั้งระยะทาง 100 และ 200 เมตร

    การแข่งขันขันว่ายท่าผีเสื้อ มีทั้งระยะทาง 100 และ 200 เมตร

    การแข่งขันว่ายท่าฟรีสไตล์ มีทั้งระยะทาง 100 เมตร 200 เมตร 400 เมตร 800 เมตร และ 1,500 เมตร โดยในประเภทชาย ไม่มีการแข่งขันระยะทาง 800 เมตร ส่วนประเภทหญิง ไม่มีการแข่งขันระยะทาง 1,500 เมตร

    การแข่งขันว่ายผสมเดี่ยว ชื่อย่อของการแข่งขันประเภทนี้คือ I.M. หรือ Individual Medley เป็นการแข่งขันว่ายเดี่ยว ที่ใช้ท่าว่ายหลายท่า เริ่มจากท่าผีเสื้อ ตามด้วยท่ากรรเชียง ท่ากบ และจบลงด้วยท่าฟรีสไตล์ โดยแต่ละท่าจะใช้ระยะทาง 1 ใน 4 ของระยะทางการแข่งขัน ซึ่งการแข่งขันจะมีทั้ง 200 เมตร และ 400 เมตร ทั้งชาย และ หญิง 

    การแข่งขันว่ายผลัดผสม การแข่งขันประเภทนี้ มีนักกีฬา 4 คน แต่ละคนจะว่ายท่าของตนเอง ผลัดละ 1 ท่า รวมเป็นว่าย 4 คน 4 ท่า โดยเริ่มด้วยท่ากรรเชียง ท่ากบ ท่าผีเสื้อ และจบลงด้วยท่าฟรีสไตล์ การแข่งขันประเภทนี้ จะเป็นในแบบ 4 x 100 เมตร ทั้งชาย และ หญิง

    การแข่งขันว่ายผลัดฟรีสไตล์ มีนักกีฬา 4 คน มีทั้งระยะทาง 400 เมตร และ 800 เมตร โดยผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะว่ายท่าฟรีสไตล์เหมือนกัน เป็นระยะทาง 1 ใน 4 ของระยะทางการแข่งขัน และจะว่ายได้แค่ 1 ผลัดเท่านั้น 





    • การจัดเข้าลู่ว่ายในรอบคัดเลือก ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะต้องแจ้งเวลาว่ายของตน ที่ทำสถิติดีที่สุดไม่เกิน 12 เดือนที่ผ่านมา ไว้ในใบสมัคร ใครไม่แจ้งถือว่ามีเวลาช้าที่สุด และอยู่ในลำดับสุดท้ายของบัญชีรายชื่อ ถ้ามีหลายคนให้ตัดสินโดยการจับฉลาก 

    • ถ้าการแข่งขันรอบคัดเลือกมี 2 ชุด จัดให้ผู้มีเวลาเร็วที่สุดให้อยู่ในชุดที่ 2 ให้ผู้มีเวลาเร็วที่สุดคนที่ 2 อยู่ในชุดที่ 1 ให้ผู้มีเวลาเร็วที่สุดคนที่ 3 อยู่ในชุดที่ 2 และให้ผู้มีเวลาเร็วที่สุดคนที่ 4 อยู่ในชุดที่ 1 สลับกันไปเรื่อยๆ 

    • ถ้ามี 3 ชุด ให้ผู้มีเวลาเร็วที่สุดอยู่ในชุดที่ 3 ให้ผู้ที่มีเวลาเร็วที่สุดคนที่ 2 อยู่ในชุดที่ 2 ให้ผู้มีเวลาเร็วที่สุดคนที่ 3 อยู่ในชุดที่ 1 สลับไปเรื่อย (ชุด 3-2-1) 


    • ถ้ามี 4 ชุด หรือมากกว่า ให้จัดเหมือนกันกับชุดที่ 3 โดยที่ผู้มีเวลาเร็วที่สุด ให้ไปอยู่ชุดที่ 4 (ชุด 4-3-2-1) 


    • การกำหนดลู่ของการว่าย ลู่หมายเลข 1 ให้นับจะอยู่ทางขวาของสระ เมื่อยืนหันหน้าไปทางปลายสระ ลู่หมายเลข 8 อยู่ทางซ้ายของสระ


    • ผู้ที่มีเวลาเร็วที่สุด จะอยู่กลางสระ ลู่ที่ 4 คนที่มีเวลารองลงมา ให้อยู่ทางซ้ายมือของคนแรก คนที่มีเวลารองลงไปอีกให้อยู่ทางขวามือของคนแรก สลับกันไปเรื่อยๆ ถ้าเวลาเท่ากันให้จับฉลาก 


    • การปล่อยตัว กรรมการจะเป่านกหวีดเสียงยาว ให้นักกีฬาก้าวขึ้นยืนบนแท่นกระโดด (ยกเว้น การปล่อยตัวของการแข่งขันท่ากรรเชียง และท่าผลัดผสม จะปล่อยตัวจากในสระว่ายน้ำ) กรรมการจะใช้คำสั่ง "เข้าที่" (Take Your Marks) นักกีฬาทุกคนจะต้องก้าวไปยืนที่ปลายสุดของแท่นกระโดด พร้อมกับก้มตัวลงโดยเร็ว กรรมการจะให้สัญญาณปล่อยตัว โดยใช้เสียงปืน ออด หรือนกหวีด 

    • แต่หากนักกีฬาคนใดออกตัวก่อนสัญญาณปล่อยตัวดังขึ้น กรรมการจะให้สัญญาณปล่อยตัวซ้ำ และจะปล่อยเชือกฟาวล์ลงในสระด้วย กรรมการจะเรียกนักกีฬาที่ทำฟาวล์ มาเตือน ไม่ให้กระโดดก่อนสัญญาณการปล่อยตัวจะดังขึ้น หลังจากมีการฟาวล์ครั้งที่หนึ่งแล้ว หากมีนักกีฬาคนใดออกตัวก่อนสัญญาณการปล่อยตัวในครั้งต่อไป นักกีฬาผู้ทำฟาวล์คนต่อไปก็จะถูกตัดสิทธิ์ ให้ออกจากการแข่งขัน 


    • การแข่งขัน นักกีฬาต้องว่ายครบระยะทางที่กำหนด โดยจะต้องเข้าเส้นชัยในลู่เดิมที่ได้เริ่มต้น

    • ไม่อนุญาตให้นักกีฬาเดินที่ก้นสระ แต่อนุญาตให้นักกีฬายืนที่ก้นสระได้เฉพาะในการแข่งขันว่ายท่าฟรีสไตล์หรือการแข่งขันว่ายในส่วนท่าฟรีสไตล์ของรายการว่ายแบบเดี่ยวผสมและผลัดผสม แต่ต้องไม่เดินที่ก้นสระ

    • การกีดขวางผู้เข้าแข่งขันอื่น เช่น ว่ายเข้าไปในลู่ หรือเข้าไปรบกวนคู่แข่ง จะถูกปรับให้เสียสิทธิ์ออกจากการแข่งขัน 


    • ไม่อนุญาตให้นักกีฬาใช้ เครื่องช่วยมือดึงน้ำ เท้ามนุษย์กบ ที่จะเป็นเครื่องช่วยเพิ่มความเร็ว แต่อนุญาตให้สวมแว่นตากันน้ำได้


    • นักกีฬาที่ยังไม่ถึงรอบแข่งขัน ห้ามลงไปในสระขณะการแข่งขันประเภทอื่นกำลังดำเนินอยู่ 

    • การแข่งว่ายผลัด นักกีฬาของทีมใดกระโดดออกจากแท่นเริ่มต้นก่อนที่เพื่อนร่วมทีมจะว่ายเข้ามาแตะขอบสระ จะต้องถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขัน นักกีฬาว่ายผลัดที่เสร็จสิ้นการว่ายในระยะทางที่ตนแข่งขันแล้ว จะต้องรีบขึ้นจากสระทันที 

    การว่ายน้ำ

    • ความยาวของสระว่ายน้ำมาตรฐาน เท่ากับ 50 เมตร ความกว้าง เท่ากับ 25 เมตร โดยมีเลนแข่ง 8 เลน แต่ละเลนกว้าง 7-9 ฟุต น้ำในสระจะลึกอย่างน้อย 4 ฟุต(1.20เมตร) หรือมากกว่า อุณหภูมิของน้ำอยู่ที่ประมาณ 78 - 80 องศาฟาเรนไฮต์ ทั้งนี้ไม่มีการทำเครื่องหมายใดๆในสระหรือขอบสระ ที่จะเป็นเครื่องช่วยทำให้การว่ายน้ำทำเวลาได้เร็วขึ้น



    • ประเภทของการแข่งขันว่ายน้ำโอลิมปิค ทั้งประเภทชายและหญิง มีการแข่งขันว่ายเดี่ยว 13 ประเภท และว่ายผลัด 3 ประภท โดยผู้เข้าแข่งขันทีมว่ายผลัดในทีมเดียวกัน จะต้องเป็นคนสัญชาติเดียวกัน 


    การแข่งขันว่ายท่ากรรเชียง มีทั้งระยะทาง 100 เมตร และ 200 เมตร

    การแข่งขันขันว่ายท่ากบ มีทั้งระยะทาง 100 และ 200 เมตร

    การแข่งขันขันว่ายท่าผีเสื้อ มีทั้งระยะทาง 100 และ 200 เมตร

    การแข่งขันว่ายท่าฟรีสไตล์ มีทั้งระยะทาง 100 เมตร 200 เมตร 400 เมตร 800 เมตร และ 1,500 เมตร โดยในประเภทชาย ไม่มีการแข่งขันระยะทาง 800 เมตร ส่วนประเภทหญิง ไม่มีการแข่งขันระยะทาง 1,500 เมตร

    การแข่งขันว่ายผสมเดี่ยว ชื่อย่อของการแข่งขันประเภทนี้คือ I.M. หรือ Individual Medley เป็นการแข่งขันว่ายเดี่ยว ที่ใช้ท่าว่ายหลายท่า เริ่มจากท่าผีเสื้อ ตามด้วยท่ากรรเชียง ท่ากบ และจบลงด้วยท่าฟรีสไตล์ โดยแต่ละท่าจะใช้ระยะทาง 1 ใน 4 ของระยะทางการแข่งขัน ซึ่งการแข่งขันจะมีทั้ง 200 เมตร และ 400 เมตร ทั้งชาย และ หญิง 

    การแข่งขันว่ายผลัดผสม การแข่งขันประเภทนี้ มีนักกีฬา 4 คน แต่ละคนจะว่ายท่าของตนเอง ผลัดละ 1 ท่า รวมเป็นว่าย 4 คน 4 ท่า โดยเริ่มด้วยท่ากรรเชียง ท่ากบ ท่าผีเสื้อ และจบลงด้วยท่าฟรีสไตล์ การแข่งขันประเภทนี้ จะเป็นในแบบ 4 x 100 เมตร ทั้งชาย และ หญิง

    การแข่งขันว่ายผลัดฟรีสไตล์ มีนักกีฬา 4 คน มีทั้งระยะทาง 400 เมตร และ 800 เมตร โดยผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะว่ายท่าฟรีสไตล์เหมือนกัน เป็นระยะทาง 1 ใน 4 ของระยะทางการแข่งขัน และจะว่ายได้แค่ 1 ผลัดเท่านั้น 





    • การจัดเข้าลู่ว่ายในรอบคัดเลือก ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะต้องแจ้งเวลาว่ายของตน ที่ทำสถิติดีที่สุดไม่เกิน 12 เดือนที่ผ่านมา ไว้ในใบสมัคร ใครไม่แจ้งถือว่ามีเวลาช้าที่สุด และอยู่ในลำดับสุดท้ายของบัญชีรายชื่อ ถ้ามีหลายคนให้ตัดสินโดยการจับฉลาก 

    • ถ้าการแข่งขันรอบคัดเลือกมี 2 ชุด จัดให้ผู้มีเวลาเร็วที่สุดให้อยู่ในชุดที่ 2 ให้ผู้มีเวลาเร็วที่สุดคนที่ 2 อยู่ในชุดที่ 1 ให้ผู้มีเวลาเร็วที่สุดคนที่ 3 อยู่ในชุดที่ 2 และให้ผู้มีเวลาเร็วที่สุดคนที่ 4 อยู่ในชุดที่ 1 สลับกันไปเรื่อยๆ 

    • ถ้ามี 3 ชุด ให้ผู้มีเวลาเร็วที่สุดอยู่ในชุดที่ 3 ให้ผู้ที่มีเวลาเร็วที่สุดคนที่ 2 อยู่ในชุดที่ 2 ให้ผู้มีเวลาเร็วที่สุดคนที่ 3 อยู่ในชุดที่ 1 สลับไปเรื่อย (ชุด 3-2-1) 


    • ถ้ามี 4 ชุด หรือมากกว่า ให้จัดเหมือนกันกับชุดที่ 3 โดยที่ผู้มีเวลาเร็วที่สุด ให้ไปอยู่ชุดที่ 4 (ชุด 4-3-2-1) 


    • การกำหนดลู่ของการว่าย ลู่หมายเลข 1 ให้นับจะอยู่ทางขวาของสระ เมื่อยืนหันหน้าไปทางปลายสระ ลู่หมายเลข 8 อยู่ทางซ้ายของสระ


    • ผู้ที่มีเวลาเร็วที่สุด จะอยู่กลางสระ ลู่ที่ 4 คนที่มีเวลารองลงมา ให้อยู่ทางซ้ายมือของคนแรก คนที่มีเวลารองลงไปอีกให้อยู่ทางขวามือของคนแรก สลับกันไปเรื่อยๆ ถ้าเวลาเท่ากันให้จับฉลาก 


    • การปล่อยตัว กรรมการจะเป่านกหวีดเสียงยาว ให้นักกีฬาก้าวขึ้นยืนบนแท่นกระโดด (ยกเว้น การปล่อยตัวของการแข่งขันท่ากรรเชียง และท่าผลัดผสม จะปล่อยตัวจากในสระว่ายน้ำ) กรรมการจะใช้คำสั่ง "เข้าที่" (Take Your Marks) นักกีฬาทุกคนจะต้องก้าวไปยืนที่ปลายสุดของแท่นกระโดด พร้อมกับก้มตัวลงโดยเร็ว กรรมการจะให้สัญญาณปล่อยตัว โดยใช้เสียงปืน ออด หรือนกหวีด 

    • แต่หากนักกีฬาคนใดออกตัวก่อนสัญญาณปล่อยตัวดังขึ้น กรรมการจะให้สัญญาณปล่อยตัวซ้ำ และจะปล่อยเชือกฟาวล์ลงในสระด้วย กรรมการจะเรียกนักกีฬาที่ทำฟาวล์ มาเตือน ไม่ให้กระโดดก่อนสัญญาณการปล่อยตัวจะดังขึ้น หลังจากมีการฟาวล์ครั้งที่หนึ่งแล้ว หากมีนักกีฬาคนใดออกตัวก่อนสัญญาณการปล่อยตัวในครั้งต่อไป นักกีฬาผู้ทำฟาวล์คนต่อไปก็จะถูกตัดสิทธิ์ ให้ออกจากการแข่งขัน 


    • การแข่งขัน นักกีฬาต้องว่ายครบระยะทางที่กำหนด โดยจะต้องเข้าเส้นชัยในลู่เดิมที่ได้เริ่มต้น

    • ไม่อนุญาตให้นักกีฬาเดินที่ก้นสระ แต่อนุญาตให้นักกีฬายืนที่ก้นสระได้เฉพาะในการแข่งขันว่ายท่าฟรีสไตล์หรือการแข่งขันว่ายในส่วนท่าฟรีสไตล์ของรายการว่ายแบบเดี่ยวผสมและผลัดผสม แต่ต้องไม่เดินที่ก้นสระ

    • การกีดขวางผู้เข้าแข่งขันอื่น เช่น ว่ายเข้าไปในลู่ หรือเข้าไปรบกวนคู่แข่ง จะถูกปรับให้เสียสิทธิ์ออกจากการแข่งขัน 


    • ไม่อนุญาตให้นักกีฬาใช้ เครื่องช่วยมือดึงน้ำ เท้ามนุษย์กบ ที่จะเป็นเครื่องช่วยเพิ่มความเร็ว แต่อนุญาตให้สวมแว่นตากันน้ำได้


    • นักกีฬาที่ยังไม่ถึงรอบแข่งขัน ห้ามลงไปในสระขณะการแข่งขันประเภทอื่นกำลังดำเนินอยู่ 

    • การแข่งว่ายผลัด นักกีฬาของทีมใดกระโดดออกจากแท่นเริ่มต้นก่อนที่เพื่อนร่วมทีมจะว่ายเข้ามาแตะขอบสระ จะต้องถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขัน นักกีฬาว่ายผลัดที่เสร็จสิ้นการว่ายในระยะทางที่ตนแข่งขันแล้ว จะต้องรีบขึ้นจากสระทันที 

    10 ประอาเซียน



    ประเทศอาเซียน

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก flagspot.net , สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 
     
              ในสภาวะแห่งยุคทุนนิยม ที่เศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนและผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ ก้าวรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ประกอบกับประเทศต่าง ๆ นั้นอยู่รวมกันเป็นสังคมโลก ไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายได้ จึงต้องมีการรวมตัวกันของประเทศในแต่ละภูมิภาคเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ร่วมและพัฒนาประเทศในภูมิภาคไปพร้อม ๆ กัน ด้วยเหตุนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ อาเซียน จึงได้มีข้อตกลงให้อาเซียนรวมตัวเป็นชุมชนหรือประชาคมเดียวกันให้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015)
     
              แต่ก่อนที่เราจะมาดูเนื้อหาสาระของการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนนี้ เราจะมาย้อนดูกันรวมตัวกันของประเทศในอาเซียนว่ามีการรวมตัวกันได้อย่างไร จนมาเป็นอาเซียนในปัจจุบัน 

              โดยอาเซียนหรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  (ASEAN : The Association of South East Asian Nations) ได้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2510 โดยประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ต่อมาในปีพ.ศ.2527 บรูไน ดารุสซาลาม ได้เข้ามาเป็นสมาชิก ตามด้วยเวียดนามเข้ามาเป็นสมาชิกเมื่อ พ.ศ. 2538  ขณะที่พม่าและลาวเข้ามาเป็นสมาชิกใน พ.ศ.2540 และประเทศสุดท้ายคือกัมพูชา เข้าเป็นสมาชิกอาเซียน เมื่อ พ.ศ. 2542  ปัจจุบันอาเซียนมีประเทศสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ
     
     รู้จัก 10 ประเทศอาเซียน 


    บรูไน


    1.บรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) 

              ประเทศบรูไน มีชื่อเป็นทางการว่า "เนการาบรูไนดารุสซาลาม" มีเมือง "บันดาร์เสรีเบกาวัน" เป็นเมืองหลวง ถือเป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะมีพื้นที่ประมาณ 5,765 ตารางกิโลเมตร ปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีประชากร 381,371 คน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรเกือบ 70% นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษามาเลย์เป็นภาษาราชการ

               อ่านข้อมูลของประเทศบรูไนได้ที่นี่ 


    กัมพูชา

    2.ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia)

              เมืองหลวงคือ กรุงพนมเปญ เป็นประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศไทยทางทิศเหนือ และทิศตะวันตก มีพื้นที่ 181,035 ตารางกิโลเมตร หรือขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศไทย มีประชากร 14 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2550) โดยประชากรกว่า 80% อาศัยอยู่ในชนบท 95% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการ แต่ก็มีหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเวียดนามได้

               อ่านข้อมูลประเทศกัมพูชา ได้ที่นี่ 


    อินโดนีเซีย


    3.สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia)

              เมืองหลวงคือ จาการ์ตา ถือเป็นประเทศหมู่เกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่ 1,919,440 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรมากถึง 240 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) โดย 61% อาศัยอยู่บนเกาะชวา ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และใช้ภาษา Bahasa Indonesia เป็นภาษาราชการ

               อ่านข้อมูลประเทศอินโดนีเซีย ได้ที่นี่ 


    ลาว

    4.สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) (The Lao People's Democratic Republic of Lao PDR)

              เมืองหลวงคือ เวียงจันทน์ ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันตก โดยประเทศลาวมีพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทย คือ 236,800 ตารางกิโลเมตร พื้นที่กว่า 90% เป็นภูเขาและที่ราบสูง และไม่มีพื้นที่ส่วนใดติดทะเล ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม โดยมีประชากร 6.4 ล้านคน ใช้ภาษาลาวเป็นภาษาหลัก แต่ก็มีคนที่พูดภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศสได้ ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ 

               อ่านข้อมูลประเทศลาว ได้ที่นี่ 


    มาเลเซีย


    5.ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)

              เมืองหลวงคือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตศูนย์สูตร แบ่งเป็นมาเลเซียตะวันตกบคาบสมุทรมลายู และมาเลเซียตะวันออก ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ทั้งประเทศมีพื้นที่ 329,758 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากร 26.24 ล้านคน นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ใช้ภาษา Bahasa Melayu เป็นภาษาราชการ

               อ่านข้อมูลประเทศมาเลเซีย ได้ที่นี่ 

    ฟิลิปปินส์


    6.สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines)

              เมืองหลวงคือ กรุงมะนิลา ประกอบด้วยเกาะขนาดต่าง ๆ รวม 7,107 เกาะ โดยมีพื้นที่ดิน 298.170 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 92 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ และเป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นอันดับ 4 ของโลก มีการใช้ภาษาในประเทศมากถึง 170 ภาษา แต่ใช้ภาษาอังกฤษ และภาษาตากาลอก เป็นภาษาราชการ

               อ่านข้อมูลประเทศฟิลิปปินส์ ได้ที่นี่ 


    สิงคโปร์


    7.สาธารณรัฐสิงคโปร์ (The Republic of Singapore)

              เมืองหลวงคือ กรุงสิงคโปร์ ตั้งอยู่บนตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางคมนาคมทางเรือของอาเซียน จึงเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจมากที่สุดในย่านนี้ แม้จะมีพื้นที่ราว 699 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น มีประชากร 4.48 ล้านคน ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ แต่มีภาษามาเลย์เป็นภาษาประจำชาติ ปัจจุบันใช้การปกครองแบบสาธารณรัฐ (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีสภาเดียว)

               อ่านข้อมูลประเทศสิงคโปร์ ได้ที่นี่ 


    ประเทศไทย


    8.ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)

              เมืองหลวงคือกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 513,115.02 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 77 จังหวัด มีประชากร 65.4 ล้านคน (ข้อมูลปี พ.ศ.2553) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขของประเทศ

               อ่านข้อมูลประเทศไทย ได้ที่นี่ 


    เวียดนาม

    9.สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam)

              เมืองหลวงคือ กรุงฮานอย มีพื้นที่ 331,689 ตารางกิโลเมตร จากการสำรวจถึงเมื่อปี พ.ศ.2553 มีประชากรประมาณ 88 ล้านคน ประมาณ 25% อาศัยอยู่ในเขตเมือง ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่เหลือนับถือศาสนาคริสต์ ปัจจุบัน ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ 

               อ่านข้อมูลประเทศเวียดนาม ได้ที่นี่ 


    ประเทศพม่า


    10.สหภาพพม่า (Union of Myanmar)

              มีเมืองหลวงคือ เนปิดอว ติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันออก โดยทั้งประเทศมีพื้นที่ประมาณ 678,500 ตารางกิโลเมตร ประชากร 48 ล้านคน กว่า 90% นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท หรือหินยาน และใช้ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการ 

               อ่านข้อมูลประเทศพม่า ได้ที่นี่ 



    ประเทศอาเซียน

              ตลอดระยะเวลา 44 ปีที่ผ่านมา อาเซียนได้เกิดความร่วมมือ รวมทั้งมีการวางกรอบความร่วมมือ เพื่อสร้างความเข็มแข็ง รวมถึงความมั่นคงของประเทศสมาชิกทั้งด้านความมั่นคงเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และในปี พ.ศ. 2558 อาเซียนได้วางแนวทางก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ ภายใต้คำขวัญคือ  "หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม" (One Vision, One Identity, One Community) โดยมุ่งเน้นไปที่ 3 ประชาคม คือ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน(ASEAN Political Security Community : APSC)  ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community : ASCC)
     
              โดยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2552 ผู้นำอาเซียนได้ลงนามรับรองปฏิญญาชะอำ หัวหิน ว่าด้วยแผนงานจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ค.ศ. 2009-2015) เพื่อจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 ซึ่งประชาคมอาเซียนประกอบด้วยเสาหลัก 3 เสา ดังต่อไปนี้
     
               1.ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน  (ASEAN Security Community – ASC) มุ่งให้ประเทศในภูมิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีระบบแก้ไขความขัดแย้ง ระหว่างกันได้ด้วยดี มีเสถียรภาพอย่างรอบด้าน มีกรอบความร่วมมือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามความมั่นคงทั้งรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยและมั่นคง

               2.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) มุ่งให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และการอำนวยความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน อันจะทำให้ภูมิภาคมีความเจริญมั่งคั่ง และสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่น ๆ ได้เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนในประเทศอาเซียน โดย

                    มุ่งให้เกิดการไหลเวียนอย่างเสรีของ สินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และการลดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมภายในปี 2020

                    ทําให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว (single market and production base)

                     ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียนเพื่อลดช่องว่างการพัฒนาและช่วยให้ประเทศเหล่านี้เข้าร่วมกระบวนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน

                    ส่งเสริมความร่วมมือในนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาคตลาดการเงินและตลาดทุน การปะกันภัยและภาษีอากร การพัฒนาโครงสร้างพิ้นฐานและการคมนาคม พัฒนาความร่วมมือด้านกฎหมาย การเกษตร พลังงาน การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการยกระดับการศึกษาและการพัฒนาฝีมือแรงงาน
        
              กลุ่มสินค้าและบริการนำร่องที่สำคัญ ที่จะเกิดการรวมกลุ่มกัน คือ สินค้าเกษตร / สินค้าประมง / ผลิตภัณฑ์ไม้ / ผลิตภัณฑ์ยาง / สิ่งทอ / ยานยนต์ /อิเล็กทรอนิกส์ / เทคโนโลยีสารสนเทศ (e-ASEAN) / การบริการด้านสุขภาพ, ท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ (การบิน) กำหนดให้ปี พ.ศ. 2558 เป็นปีที่เริ่มรวมตัวกันอย่างเป็นทางการ โดยผ่อนปรนให้กับประเทศ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียตนาม สำหรับประเทศไทยได้รับมอบหมายให้ทำ Roadmap ทางด้านท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ (การบิน)
     

    ความร่วมมือ


               3.ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community – ASCC) เพื่อให้ประชาชนแต่ละประเทศอาเซียนอยู่ร่วมกันภายใต้แนวคิดสังคมที่เอื้ออาทร มีสวัสดิการทางสังคมที่ดี และมีความมั่นคงทางสังคม

              สำหรับการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนนั้น ประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้นำในการก่อตั้งสมาคมอาเซียน มีศักยภาพในการเป็นแกนนำในการสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง จึงได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประชาอาเซียน โดยจะมุ่งเน้นเรื่องการศึกษา ซึ่งจัดอยู่ในประชาคมสังคมและวัฒนธรรม ที่จะมีบทบาทสำคัญที่จะส่งเสริมให้ประชาคมด้านอื่น ๆ ให้มีความเข้มแข็ง เนื่องจากการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน และจะมีการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาเซียนศึกษา เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนด้วยการศึกษา ด้วยการสร้างความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียน ความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ หลักสิทธิมนุษยชน ตลอดจนการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศเพื่อพัฒนาการติดต่อสื่อสารระหว่างกันในประชาคมอาเซียน